วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Community Farm : ชุมชนเกษตร คำตอบของทุกปัญหาการดำรงชีพ ตอนที่ 3(จบ)

คลิกอ่าน ตอนที่ 1
คลิกอ่าน ตอนที่ 2

และเมื่อเครือข่ายการเกื้อกูลเช่นนี้ขยายวงออกไปอย่างกว้างขวางแล้ว ชุมชนทั้งหมดก็จะเหมือนครอบครัวเดียวกัน การไปมาหาสู่ก็จะง่ายดาย เหมือนมีบ้าน มีญาติ มีปู่ย่าตายาย มีลูกหลานอยู่ทุกๆที่ ไปไหนก็ไม่ต้องกลัว ชุมชนไหนประสบปัญหา เกิดภัยพิบัติ เกิดผลผลิตหรือพื้นที่เสียหาย ชุมชนที่เหลือ ที่ยังเข้มแข็งอยู่ก็สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องแบกภาระด้วยตนเอง ไม่ต้องรอภาครัฐ ไม่ต้องรอเงินทุน

เพียงแต่ว่าผู้ที่จะดำเนินตามแนวทางนี้ จิตใจจะต้องเปิดกว้าง และเป็นไปเพื่อการเกื้อกูลอย่างแท้จริง อย่ามีเงื่อนไขจุกจิกมาก และจะต้องใช้แนวทางที่ไม่แสวงหากำไรเป็นที่ตั้ง คำตอบของชีวิตจริงๆนั้นไม่ใช่ความร่ำรวย ไม่อย่างนั้นวิถีทางเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ส่วนสมาชิกที่จะเข้าร่วม ก็จะต้องเข้าใจความเป็นจริงของระบบทุนนิยมให้ชัดเจนเสียก่อน เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็จะเข้าใจและยอมรับวิธีการและแนวทางของชุมชนเกษตรไปเอง ปัญหาในการรวมตัวกันก็จะน้อยลงไปมาก

แนวทางชุมชนเกษตรนี้ ยังสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและท้องถิ่นให้กลับคืนมาได้จริง จากที่ขาดหายไปในโครงสร้างสังคมแบบปัจเจกนิยมด้วย ที่มีแต่คนเคยบ่นว่าไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนชราในบ้านอยู่อย่างว้วเหว่ ไม่มีเวลาดูแลและสอนลูกหลาน หาเงินไม่พอกินพอใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ค่าครองชีพสูงจนต้องกู้หนี้ยืมสิน โดนหลอกลวง โดนฉ้อโกง โดนบีบคั้นกดดันจนเครียดจากการทำงาน โดนเอารัดเอาเปรียบ สุขภาพทรุดโทรมจากการทำงานหนัก กินไม่เป็นเวลา โรคต่างๆจากการใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ ชีวิตที่ต่างคนต่างอยู่ที่เงียบเหงา ว้าเหว่ หวาดกลัว ไม่มั่นคงนั้นก็จะหมดไป การโดนกลั่นแกล้งรังแกจากระบบทุนหรือผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็จะน้อยลงหรือหมดไป การถูกละเลยขาดการดูแลจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็จะถูกลดความสำคัญลงไป เพราะเราดูแลท้องถิ่นกันเองได้

เมื่ออยู่ในระบบของชุมชนเกษตร คนที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆก็จะไม่โดนกดดันบีบคั้นจากระบบ ไม่ต้องขายเกียรติขายศักดิ์ศรีกิน ไม่ต้องประจบประแจงใครเพื่อผลประโยชน์อีก เพราะภาระที่เคยแบกในฐานะปัจเจกชนถูกกระจายแบ่งเบาลงไปมาก และมีกินมีใช้อย่างพอเพียง ไม่กลายเป็นเงื่อนไขให้คนอื่นมาบีบคั้นอีกต่อไป

เมื่อหมดกังวลแล้ว ก็จะสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับชุมชนให้กับโลกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องไปนั่งกังวลห่วงหวงความรู้อะไรอีก แต่ต้องเน้นว่าสิ่งต่างๆที่คิดสร้างสรรค์ขึ้นมาในชุมชน ก็ไม่ควรจะนำมาแสวงหากำไรเกินควร ควรจะแบ่งปันกระจายความรู้ให้เป็นสาธารณสมบัติ เพื่อให้เกิดการต่อยอด การวิวัฒน์ไปเพื่อวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ให้เป็นไปในลักษณะของ open society ไม่ใช่แค่ของเราคนเดียว เพราะวิถีปัจเจกอย่างในปัจจุบันนั้น ล้วนแล้วแต่นำไปสู่ความมั่งคั่งที่คับแคบเฉพาะตน และสังคมที่คนส่วนน้อยมั่งคั่งขณะที่คนส่วนใหญ่อดอยากนั้น ที่สุดแล้วจะนำไปสู่ความรุนแรงและความล่มสลายในที่สุด

เคยมีคนยกตัวอย่าง สมมติว่าเสา 1 ต้นรับน้ำหนักได้ 100 กิโลกรัม เสา 10 ต้นจะรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ บางคนตอบว่า 1000 กิโลกรัม แต่คำเฉลยกลับทำให้เราแปลกใจเพราะ เสา 10 ต้นนั้น เมื่อรวมกันรับน้ำหนัก มันรับน้ำหนักได้มากกว่า 1000 กิโลกรัมไปมากมาย น้ำหนักต่อเสาหนึ่งต้นที่มันรับได้จะมากขึ้นเป็นสิบๆเท่าเลยทีเดียว นี่คือแก่นหลักของชุมชนเกษตรที่สามารถพึ่งพาตนเองได้หมดทุกด้าน ภาระต่างๆจะเบาลงมาก นั่นก็หมายถึงความเครียดก็จะน้อยลงมาก มีเวลาและความสุขมากขึ้นพร้อมกันทั้งชุมชน แถมจะมีเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งดีๆอีกมากมาย

อีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรจะรวมตัวกันเป็นชุมชนเกษตรก็คือ ราคาที่ดินที่แพงขึ้นมากจากการปั่นราคาในตลาด ทำให้เราไม่สามารถออกไปทำเกษตรอยู่แบบโดดเดี่ยวเป็นปัจเจกได้อีกต่อไป และความเป็นจริงแล้ว คนหนึ่งคนก็ไม่ได้กินได้ใช้มากอย่างที่เข้าใจผิดๆกันมา ที่ต้องหามากนั้นก็เพราะมันหาเผื่อความรู้สึกกลัวอนาคตที่ไม่แน่นอนเสียมากกว่า

แนวทางชุมชนเกษตรนี้เริ่มมีให้เห็นกันบ้างแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ ที่ถูกระบบทุนบีบคั้นในทุกทาง จนตอนนี้คนชั้นกลางเริ่มจะถูกบีบให้ลงไปเป็นคนชั้นล่างหมดแล้ว และมีคนกลุ่มเล็กก็เริ่มทำชุมชนเกษตรของตนเองเพื่อเอาตัวรอด แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังมีฝรั่งต่างชาติมาตั้ง Community Farm ในรูปแบบ Permaculture แล้วในปัจจุบัน

ตอนนี้สถานะของคนชั้นกลางไทยก็ถูกบีบคั้นกดดันไม่แตกต่างกันเลย ซึ่งทางออกจากระบบอันบีบคั้นก็มีไม่กี่ทาง และทางที่ผมเห็นว่ายั่งยืนมั่นคงและดีที่สุดก็เป็นแนวทางของชุมชนเกษตรนี่แหละ ซึ่งตอนนี้ชุมชนเกษตรก็เลยกลายเป็นกระแสเล็กๆของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เอาระบบทุน และยังมีแนวทางอื่นๆที่เป็นไปในเชิงแบ่งปันเกื้อกูลแตกแขนงออกมาจากระบบทุนที่เอารัดเอาเปรียบอีกหลายแนวทางทีเดียว

ในสังคมทุนนิยมนี้ มันมีมายาความรู้สึกที่ถูกจัดสร้างขึ้นมาปกปิดความเป็นจริงอยู่มากมาย ทำให้เราต้องวิ่งแก้ปัญหาไม่รู้จบ บีบคั้นไม่รู้จบ เอารัดเอาเปรียบและกอบโกยกันไม่รู้จบ ทุกคนดิ้นพล่านไปบนมายาคติของความรวย-จน เพื่อให้เราขับเคลื่อนระบบ เพื่อให้เราสร้างความมั่งคั่งให้กับนายทุนเพียงไม่กี่คน ซึ่งถ้าเราไม่รู้และเข้าใจความเป็นจริงนี้ เราก็จะต้องวิ่ง ต้องดิ้นรนไม่หยุดเพื่อไขว่คว้าแสวงหาความมั่งคั่งที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึง ไม่ต่างอะไรกับการซื้อหวยแล้วนั่งรอลุ้นรางวัลที่หนึ่งเลยแม้แต่นิดเดียว

และในอนาคตอันไม่ไกลนี้ แนวโน้มของแรงงานในระบบที่อาศัยค่าจ้างค่าแรงดำรงชีพ จะยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ บางอาชีพต้องล้มหายตายจากไปเพราะการมาของอินเทอร์เน็ต ระบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไป เครื่องขายของอัตโนมัติ หุ่นยนต์ที่พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว การวิ่งไล่ตามระบบให้ทันจึงไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะรากฐานของปัญหาก็ยังคงอยู่อย่างนั้น รอวันเปิดแผลขึ้นมาอีก

แต่ถ้าเราจะกลับสู่พื้นฐานของชีวิตกันจริงๆ โดยไม่หลงภาพมายาที่ระบบทุนล้างสมองให้เราวิ่งไขว่คว้าแสวงหา การทำชุมชนเกษตร ก็เป็นทางออกสำหรับมนุษย์ที่ยั่งยืนและถาวรอย่างแท้จริง แทนที่จะไปเป็นแค่แรงงานในระบบ ใช้ชีวิตหดหู่กดดัน หวาดกลัวว่าตนจะไร้คุณค่า ซึ่งคุณค่าความเป็นมนุษย์ก็ถูกลดลงเหลีอเพียงตัวเลขขาดทุนกำไรเท่านั้นเอง

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณยุคข้อมูลข่าวสารที่สามารถรวมคนที่มีความคิด และจริตตรงกันให้ไหลมารวมกัน พลวัตรแห่งการเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน...ด้วยความศรัทธาในแนวคิดและวิถีชีวิตครับ

    ตอบลบ