ปัญหาคือเราไม่ได้กินอาหารกันอีกต่อไป แต่เรากินสิ่งที่เหมือนอาหารต่างหาก |
ทั้งหมดนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่?
ความเจ็บป่วยแทบจะทั้งหมดของคนสมัยนี้ล้วนมีสาเหตุมาจาก "อาหาร" และ "พฤติกรรมการใช้ชีวิต" ทั้งนั้น อธิบายแบบนี้หลายคนอาจจะงง งั้นเรามาลองดูคำนิยามของคำว่า "อาหาร" กันก่อน
อาหารนี้เป็นวัตถุดิบจาก "ธรรมชาติ" ที่มนุษย์หรือสัตว์ใช้ประทังชีวิต ที่ต้องเน้นว่าจากธรรมชาติก็เพราะ สิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดมาบนโลกของมนุษย์ ธรรมชาติจัดสรรเอาไว้ให้หมดอย่างลงตัวแล้ว ดังนั้นร่างกายของมนุษย์จึงรู้จักแต่อาหารที่มาจากธรรมชาติในแบบที่ไม่ได้แปรรูปให้ผิดไปจากเดิมมากเกินไป อันนี้คือนิยามของคำว่า "อาหาร" ตามที่มันควรจะเป็น
วิถีทางที่ประชาชนจะพึ่งพาตนเองได้ ถูกทำให้เป็นสิ่งผิดกฏหมายทั้งหมด |
นอกจากนั้น เมื่อผลผลิตทางการเกษตรเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมเพื่อนำมาทำเป็นอาหารสำเร็จรูป วัตถุดิบทั้งหมดก็จะถูกแปรรูปอย่างหนักจนผิดไปจากสภาพเดิมตามธรรมชาติอย่างมาก ถูกปรุงรส ใส่สารกันบูด ใส่เคมีแต่งสีแต่งรสชาติ เพื่อให้รสชาติเหมือนกันทุกครั้งที่ผลิต และให้ถูกปากผู้บริโภค โดยไม่ได้สนใจว่าจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพให้แก่ผู้บริโภคในระยะยาวอย่างไรบ้าง
จริง ๆ มาตรฐานอุตสาหกรรมทั้งหลายนี้ มันมีขึ้นแค่เพื่อจำกัดวงไม่ให้ระบบอุตสาหกรรมใส่สารเคมีจนเป็นอันตรายอย่างเฉียบพลันต่อผู้บริโภค แต่ปัญหาสุขภาพในระยาวนั้น เป็นเรื่องของผู้บริโภคต้องรับผิดชอบกันเอาเอง เหมือนเรื่องของเสียจากระบบอุตสาหกรรมที่ถูกผลักออกสู่สิ่งแวดล้อมกลายเป็นต้นทุนสังคมในแบบที่เราได้ยินในข่าวกันบ่อย ๆ นั่นเอง
ถ้าใครยังไม่เอะใจเกี่ยวกับการที่ระบบอุตสาหกรรมอาหารได้เปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปจนกลายเป็น "สิ่งที่เหมือนอาหาร" ทั้งหมด งั้นผมจะยกตัวอย่างขึ้นมาให้เห็นกระบวนการก็ได้
อาหารจากระบบอุตสาหกรรมล้วนเป็นเหตุแห่งความเจ็บป่วยทั้งนั้น |
ตัวอย่างแรก ก็คือ นมวัว เริ่มจากอาหารวัวในยุคนี้ เขาไม่ได้เลี้ยงวัวให้กินหญ้าตามธรรมชาติเดิมของมันอีกต่อไปแล้ว เพราะต้นทุนการปลูกหญ้ามันสูงมากตามราคาที่ดินที่พุ่งทะยานไม่หยุด แต่ปศุสัตว์ทั้งหลายพยายามจะลดต้นทุนของการเลี้ยงวัวด้วยการให้วัวกินกากอาหารที่ได้จากการแปรรูปอาหารมนุษย์ เช่น กากถั่วเหลือง ฯลฯ
วัวซึ่งกินอาหารที่ไม่ใช่อาหารตามธรรมชาติมัน สุขภาพของวัวจะวิปริตผิดเพี้ยนไป ก่อให้เกิดโรคได้ง่าย แล้วก็จะต้องพึ่งพายาปฏิชีวนะจำนวนมาก แล้วก็ให้ผลิตภัณฑ์นมที่ผิดไปจากธรรมชาติเดิม เมื่อระบบอุตสาหกรรมได้น้ำนมดิบมาแล้ว ก็จะทำการแยกองค์ประกอบของนมออกจากกัน คัดเอาไขมันในนมไปทำเนย ส่วนหนึ่งก็เอาไปทำชีสหรือเนยแข็ง ส่วนนึงเอาไปทำวิปปิ้งครีม ฯลฯ ส่วนนมที่เหลือจากการดึงองค์ประกอบต่าง ๆ ออกแล้ว ก็จะถูกนำมาทำเป็นนมผง ซึ่งแทบจะไม่มีคุณค่าหรือสารอาหารเหลืออีกแล้ว หรือมีก็น้อยกว่าที่มันควรจะเป็นตามธรรมชาติมาก ทั้งนี้ก็เพื่อหาผลประโยชน์สูงสุดจากผลผลิตตัวเดียวกันนี้
แล้วนมผงราคาถูกนั้นก็จะถูกนำไปปรุงแต่งรสชาติ ใส่ไขมันพืชแทนไขมันนมตามธรรมชาติ (ก็มาจากน้ำมันพืชที่สร้างปัญหาเรื่องหลอดเลือดในคนนั่นแหละ) ใส่สารอาหารสังเคราะห์ แบบที่ชอบนำมาโฆษณากันให้ดูมีคุณค่ามากกว่านมปกติ นมที่ถึงมือผู้บริโภคจริง ๆ จึงไม่ต่างจากน้ำนมเทียมซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสุขภาพตามมาอีกมากมาย
มีผลงานวิจัยในต่างประเทศที่แสดงให้เห็นว่า นมวัวนั้นเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ในมนุษย์ ซึ่งความผิดปกตินี้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนก่อให้เกิดโรคใหม่ ๆ ในมนุษย์มากขึ้น ผมทดลองกับตัวเองด้วยการเลิกดื่มนมวัวหรือดื่มให้น้อยที่สุด ผลปรากฏว่า อาการภูมิแพ้ เป็นหวัดง่าย หายไปจนเกือบหมด
ลองหาคำว่าชีส (Cheese) ในห่อผลิตภัณฑ์ที่ดูเหมือนชีสอันนี้สิครับ..ตกลงนี่เรากินอะไรเข้าไปก็ไม่รู้ |
ตัวอย่างต่อไปก็เช่น ขนมอบกรอบทอดกรอบทั้งหลายที่ขายในท้องตลาด อาหารเหล่านี้ถูกผลิตด้วยแป้งชนิดเดียวกัน แต่ใส่สี แต่งกลิ่น แต่งรสด้วย สารสังเคราะห์ สารเคมี ที่แตกต่างกัน สังเกตที่ข้างซองจะใช้คำว่า ขนมอบกรอบรสกุ้ง กลิ่นบาบีคิว คือเขาไม่ได้ใส่กุ้งจริง ไม่ได้ใส่บาบีคิวจริง ๆ เข้าไป แต่เป็นกระบวนการใส่สารสังเคราะห์เลียนแบบกลิ่นและรสเข้าไป เมื่อกินเข้าไปมาก ๆ เกลือหรือโซเดียมที่ถูกใส่เข้าไปเพื่อปรุงรสก็จะไปทำลายทั้งตับและไต ทุกวันนี้เราจึงได้เห็นคนป่วยโรคตับโรคไตมีจำนวนมากขึ้นและอายุน้อยลงเรื่อย ๆ
อย่าลืมนะครับว่า ตับมีหน้าที่กำจัดพิษ เรียกว่าสารเคมีที่ร่างกายไม่รู้จัก ก็จะถูกส่งไปกำจัดที่ตับทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็ถูกกรองออกทางไต
นี่ยังไม่นับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก แฮม น้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ อาหารหมักดอง น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี น้ำตาลทราย เกลือป่น ครีมเทียม ซอส เจลลี่ แยม อีกมากมายที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยในระยะยาวของผู้บริโภค
หรือแม้แต่ผักผลไม้ที่เราเห็นว่ามันยังเป็นธรรมชาติตามรูปทรงเดิมของมันก็จริง แต่ผักผลไม้จำนวนมากจากระบบเกษตรเคมีนั้น ขาดธาตุอาหารรองอย่างมาก เพราะปุ๋ยเคมีจะมีแต่ธาตุอาหารหลัก ดินที่ทำเกษตรเคมีเมื่อถูกพืชดูดธาตุอาหารรองไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการชดเชยเข้าไป สุดท้ายผักผลไม้ที่ปลูกมาก็จะมีแต่ "โครง" ที่มีรูปทรงแบบที่เราคุ้นเคย และมีธาตุอาหารรองอยู่น้อยมาก ผักผลไม้สมัยนี้จึงไม่อร่อยเหมือนในอดีต สู้พืชผักจากระบบเกษตรอินทรีย์ไม่ได้เลย
เคยมีผลงานวิจัยชวนอึ้งของต่างประเทศที่ผมเคยอ่านผ่านตามา ในงานวิจัยนั้นสรุปว่า พืชผักผลไม้ในยุคนี้ มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลงไปเกือบ ๆ ครึ่งนึงของเมื่อ 60-70 ปีก่อน
ถ้าถามผมถึงหลักฐาน ผมเองไม่สามารถหาผลการวิจัยออกมายืนยันได้หมด จะเอาหลักฐานชัดแจ้งก็คงไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทีละน้อย กว่าจะป่วยหนักก็จับมือใครดมไม่ได้แล้ว แต่ทุกท่านลองไปดูจากสถิติความเจ็บป่วยของคนในปัจจุบันที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ความดัน โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง โรคกระดูกผุ โรคฟัน ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีอาหารและเครื่องดื่มเป็นสาเหตุหลักทั้งนั้น บางคนแม้ไม่ได้แตะเหล้าหรือบุหรี แต่กินอาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูปมาก ๆ ก็ป่วยหนักได้เหมือนกัน
ผมเองก็พิสูจน์กับตัวเองด้วยการลดละเลิก และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปจากระบบอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้มากที่สุดมาเป็นเวลากว่าสิบปี ค่อย ๆ เปลี่ยนมากินอาหารจากธรรมชาติให้มากที่สุด ผลก็คือความเจ็บป่วยที่เคยมีมามันค่อย ๆ หายไปเองจนหมด
รสชาติที่เหมือนกันทุกครั้งของอาหารเหล่านี้ ล้วนแลกมาด้วยสารเคมีทั้งนั้น |
นี่ยังไม่นับเมล็ดพันธุ์พืชอาหารที่ถูกผูกขาดโดยบริษัทใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่บริษัท และพืชผักซอมบี้อย่างพืชตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันเป็นอันตรายกับผู้บริโภคหรือไม่อีกต่างหาก แต่เชื่อว่า สิ่งใดที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติดั้งเดิม ย่อมจะสร้างปัญหาให้กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแน่นอน
การต้อนผู้คนให้เข้ามาสู่การบริโภคอาหารจากระบบอุตสาหกรรมในปัจจุบันนั้น เข้มข้นถึงขนาดที่ว่า ในบางรัฐของประเทศอเมริกา ได้มีกฏหมายห้ามกักเก็บน้ำฝน และห้ามครอบครองน้ำนมดิบเสียด้วยซ้ำ ห้ามเก็บเมล็ดพันธุ์ นอกจากนั้นก็ยังมีกฏหมายหยุมหยิมที่ถูกผลักดันออกมากีดกันเกษตรกรรายย่อยเพื่อลดความสามารถในการแข่งขันกับอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ อีกมากมาย
เมื่อวงจรอาหารถูกทุนนิยมควบคุมถึงขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจว่า ความเจ็บป่วยของผู้คนจากอาหารเหล่านี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาผลกำไร ในรูปแบบของการบริการด้านสุขภาพ ที่นับวันจะยิ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับนายทุนมากขึ้นไปอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น