วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ธรรมชาติเดิมของมนุษย์

เคยมีคนถามตั้งแต่ตอนที่ผมเขียนใน ปศุสัตว์เมืองใหญ่ แล้วว่า ที่ว่าธรรมชาติเดิมของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร? วันนี้ก็เลยขอยกมาเขียนยาวๆให้ได้เข้าใจกัน โดยธรรมชาติเดิมของมนุษย์นั้น ผมอ้างอิงจากคำสอนในพุทธศาสนาและอ้างอิงถึงภพภูมิต่างๆทั้ง 31 ภพภูมิที่อยู่ในโลกธาตุนี้

ธรรมชาติเดิมของจิตมนุษย์นั้น เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ติดกับอะไร ไม่ติดกับสมมติ ไม่ติดกับสภาวะอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดนานๆ ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ไม่มีการตอกย้ำในจิตในใจ ทุกอย่างเป็นไปเพียงชั่วคราว เฉกเช่นร่างกายมนุษย์ที่อยู่กันไม่ถึงร้อยปี เมื่อจิตมันไม่ติดกับอะไรแล้ว มันก็จะไร้เงื่อนไขทางใจ ไม่มีทุกข์ ไม่อึดอัดขัดเคือง ร่าเริงเบิกบานในทุกๆขณะ พูดง่ายๆคือสอดคล้องไปกับกฏไตรลักษณ์ทั้ง 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง ซึ่งถ้าขัดแย้งกับกฏทั้ง 3 ข้อนี้เมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นกรรมที่ก่อให้เกิดความอึดอัดขัดเคืองทันที


ทีนี้มาดูจิตของภูมิอื่นกันบ้าง จิตของเดรัจฉานนั้นมีแต่เวทนา เกิดจากกรรมที่เคยเบียดเบียนผู้อื่น เพราะเกิดมาใช้กรรมอย่างเดียว ไม่ว่าจะเบียดเบียนหรือถูกเบียดเบียนก็เป็นไปตามกรรมที่ทำมาว่าจะพาให้ไปเกิดเป็นสัตว์ประเภทไหน จิตของอสุรกายนั้นจมแช่อยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดในลักษณะที่หมกมุ่นวกวน เป็นจิตที่ขี้เกียจและไม่มีกำลัง จิตของเปรตนั้นหิวโหยด้วยความโลภโมโทสัน จิตของสัตว์นรกนั้นมีแต่ความคับแค้น พยาบาทอาฆาต โกรธเคือง

ส่วนธรรมชาติเดิมทางกายภาพของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ ดังนั้นหน้าที่ในร่างกายต่างๆที่ธรรมชาติให้มาก็ต้องถูกใช้งานปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามฤดูต่างๆ ตามสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ไม่ติดขัดหรือถูกใช้งานเพียงลักษณะหนึ่งลักษณะใดโดยจำเพาะนานๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหตุให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ นั่งทำงานนานๆ จ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวในลักษณะซ้ำๆกันตลอดทั้งวัน ฯลฯ

ธรรมชาติให้ผืนดิน ให้พืชพรรณธัญญาหาร กับมนุษย์มากพอที่จะใช้เป็นที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งอาหาร ให้พืชใช้งาน  และให้พืชที่ใช้เป็นยารักษาโรคอยู่แล้ว สิ่งที่เกินไปกว่าธรรมชาติเดิมของมนุษย์หรือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาจึงก่อให้เกิดปัญหากับสุขภาพทางกายและจิตตามมามากมาย ไม่ว่าจะ ความหมกมุ่น ความกดดัน ความเครียด พิษตกค้างจากสารเคมีต่างๆที่มีส่วนผสมในสินค้าอุปโภคหรือบริโภค ตลอดจนถึงยาและเวชภัณฑ์ที่ผลิตจากสารเคมีทั้งหลาย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วเราสามารถแสวงหาได้จากธรรมชาติทั้งสิ้น พอมนุษย์นำมาสังเคราะห์ขึ้นเอง สิ่งเหล่านี้จึงก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆตามมามากมาย อย่าลืมนะครับว่าร่างกายมนุษย์ก็เกิดจากธรรมชาติ อะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติแท้ๆ หรือ ถูกดัดแปลงปรุงแต่งจนเกินกว่าลักษณะธรรมชาติร่างกายของเราก็จะไม่รู้จัก

การกินอาหารที่มาจากธรรมชาติจริงๆนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจว่ากินอันนี้แล้วดี ทำเป็น functional food จะได้กินแบบเน้นๆสุขภาพอะไรให้ยุ่งยากครับ สื่อในลักษณะนี้มันดัดจริตจะขายของเท่านั้นเอง ทำเรื่องง่ายให้ซับซ้อนเพื่อที่จะขายของ มีอะไรก็กินอะไรที่ปลูกที่มี กินแบบหมุนเวียนตามธรรมชาติไป ร่างกายก็ได้รับสารอาหารครบถ้วนไปเอง ไม่ต้องคิดมากให้เครียดอีก ไม่เชื่อไปดูรุ่นปู่รุ่นย่าเราสิ อยู่กันแบบง่ายๆ แต่แข็งแรงและอายุยืนกว่ารุ่นหลังๆที่เคร่งเครียดเอาจริงกับการกินมากกว่าเสียอีก

ความฉิบหายของมนุษยชาติอย่างหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไปคือ มนุษย์ดัดแปลงสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยมากจนเกินไป จนผิดธรรมชาติ มัวแต่อาศัยอยู่ในตึกที่ติดแอร์ทั้งวัน อากาศไม่หมุนเวียนถ่ายเท ก็เป็นบ่อเกิดของโรคทางเดินหายใจต่างๆ ตลอดจนสารพิษที่ระเหยมาจากเฟอร์นิเจอร์ สารเคมีของตกแต่งต่างๆที่รวมกันอยู่ในสำนักงานหรือห้องพัก

เรื่องพวกนี้ผมไม่ต้องหาหลักฐานหรืองานวิจัยมายืนยันก็เป็นเรื่องจริงอยู่วันยันค่ำ ต่อให้จะกี่ร้อยกี่พันปีผ่านไปร่างกายมนุษย์ก็จะไม่คุ้นเคยกับสารเคมีฝีมือมนุษย์ สารจำพวกยาหรือเคมีต่างๆที่เข้าไปสู่ร่างกายเราจึงกลายเป็นภาระที่ถูกส่งไปกำจัดที่ตับอยู่ตลอด และแม้ร่างกายจะตอบสนองต่อยาหรือสารเคมีได้ก็จริง แต่มันก็มีผลข้างเคียงตามมาเสมอ แม้จะเล็กน้อยก็ตามที แต่ถ้าสะสมมากๆก็สามารถเป็นเหตุให้เจ็บป่วยเรื้อรังได้เหมือนกัน

ยิ่งถ้าใช้ยาเคมีบ่อยๆ อาจจะเกิดอาการดื้อยา อย่างที่เป็นข่าวมาพักใหญ่แล้วเรื่องยาปฏิชีวนะไม่สามารถใช้ไม่ได้กับเชื้อโรคอีกต่อไป แถมพอใช้ยาเคมีไปนานๆ ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ได้ทำงานมากๆเข้า เมื่อเจอเชื้อโรคเพียงเล็กน้อยเข้าก็สามารถทำให้เราเป็นโรคร้ายแรงได้เลย เพราะภูมิคุ้นกันในร่างกายไม่ค่อยได้ถูกใช้งานนั่นเอง

ถ้าไปสังเกตดีๆ เราจะพบว่างานวิจัยเกี่ยวกับยาและเคมีต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่มาจากสารตั้งต้นทางธรรมชาติทั้งนั้น แต่โชคไม่ดีที่ยิ่งทำ ยิ่งวิจัยก็ยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติ เพราะสารที่สังเคราะห์จากธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่ผ่านกระบวนการแปรรูปและกระบวนการทางเคมีมาอย่างเข้มข้นทั้งนั้น แถมสู้ของธรรมชาติไม่ได้ แต่ที่เห็นว่าสินค้าต่างๆซึ่งมีเคมีเป็นส่วนผสมสำคัญขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็เพราะว่ามันถูกและความสะดวกในการเข้าถึง ตลอดจนสื่อที่ครอบงำการตัดสินใจซื้อ ช่องทางการจัดจำหน่ายที่คับแคบของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าถึงได้ยากนั่นเอง

ไม่เชื่อก็ลองดูปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในโลกก็ได้ครับ ทุกวันนี้โลกเราเจริญขึ้นมากทางวัตถุ แต่เรากลับเจ็บป่วยมากกว่าในอดีต เครียดมากกว่าในอดีต และเป็นทุกข์มากขึ้นกว่าในอดีต เพราะอะไร?

เพราะการพัฒนาในทุกวันนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์อย่างแท้จริง แต่การพัฒนาที่มีขึ้นในโลกทั้งหลาย ล้วนเป็นไปเพื่อกำไรสูงสุดของระบบทุนนิยมทั้งนั้น การพัฒนาเช่นนี้จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

นอกจากนั้นความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังก่อให้เกิดโรคจิตชนิดใหม่ๆตามมาอีกมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่แค่เยอะขึ้น แต่ยังมีความซับซ้อนมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าสิ่งประดิษฐ์ยุคใหม่ๆนั้นล้วนแล้วแต่ดึงจิตของมนุษย์ให้เกิดความจดจ่อ หมกมุ่น วกวน ตอกย้ำซ้ำๆ ผิดไปจากธรรมชาติของจิตมนุษย์ที่ไม่ติดกับอะไรนานนัก ผ่านแล้ว แล้วไปตลอด

ความเจริญทางโลกที่เราพบเห็นในปัจจุบันนั้น มันล่วงเลยการพัฒนาเพื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์มานานแล้ว มันเกินความจำเป็นไปมาก แต่ที่มันยังดูเหมือนว่าจำเป็นอยู่ก็เพราะระบบทุนทั้งหลาย ทำให้ชีวิตเรา ลำบากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ก็เลยต้องพัฒนาสิ่งต่างๆมาเพื่อช่วยให้สะดวกสบายขึ้น พอมีมากๆเข้า มันก็จะยุ่งวุ่นวายซ้อนขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบ ชีวิตมนุษย์ในระบบทุนจึงไม่ใช่ชีวิตมนุษย์ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเฟืองตัวหนึ่งที่คอยขับเคลื่อนระบบทุนให้หมุนไปสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไม่กี่คนบนโลกนี้ และสิ่งที่ระบบทุนไม่สามารถให้กับที่คนส่วนใหญ่ปรารถนาได้นั้น ก็คือ ความสงบสุข ความพอเพียงต่อชีวิต ความเรียบง่าย เพราะหากมนุษย์มีสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ดิ้นรนเพื่อขับเคลื่อนระบบอีกต่อไป ระบบก็จะล่มสลายลง ระบบทุนจึงต้องจำกัดทรัพยากรให้อยู่ในภาวะขาดแคลนตลอดเวลา บีบคั้น ล่อลวง หลอกลวง แบ่งลำดับชั้น สร้างมานะให้ไต่เต้า เพื่อปั่นกระแส เพื่อเก็บเกี่ยวเอาความมั่งคั่งจากคนที่เข้าใจระบบน้อยกว่าอย่างเช่นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้

ลองคิดดูว่า ถ้าหากเราเอาต้นทุนทั้งหมดที่เราเคยแบกไว้ในระบบทุน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ไปฝากไว้กับธรรมชาติและผืนดิน เราก็จะพบว่าชีวิตเราจะมีต้นทุนต่ำมากจนเรียกว่าแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งต่างๆตามธรรมชาติมันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ เมื่อเราสอดคล้องกับธรรมชาติแล้ว เมื่อนั้นความกดดันในชีวิตจะหายไปจนหมด ความวิตกกังวลที่เคยมีในระบบทุนก็จะหายไป ปัญหาต่างๆที่ระบบทุนพยายามจะแก้ไขแต่ก็ไม่สำเร็จก็จะหมดไป เช่น ปัญหาขยะล้นโลกก็จะไม่มี ปัญหามลภาวะเป็นพิษก็จะไม่มี ปัญหาความเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะลดลง ปัญหาคนชายขอบก็จะหมดไป  แล้วเราจะพบความจริงว่าทุกอย่างที่ทุนนิยมบอกเราผ่านสื่อต่างๆ มันคือภาพมายาที่ระบบสร้างขึ้นให้เราต้องคาดหวัง ต้องดิ้นรนไขว่คว้า โดยไม่รู้ว่าความมั่งคั่งของนายทุนจำนวนน้อยนิดบนโลก ล้วนแล้วแต่มาจากการที่เราดิ้นรนกระเสือกกระสนหาอยู่หากินนั่นแหละ

ถ้าใครจะแย้งว่าเทคโนโลยีใหม่ๆก็มีความจำเป็น ก็ให้รู้ไว้นะครับว่า มันจำเป็นก็เพราะปัญหาที่มันพอกพูนขึ้นจากระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมนั่นแหละ ถ้าเราสามารถขจัดต้นตอของปัญหาเหล่านี้ออกไปได้ ความจำเป็นของเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเกินความจำเป็นอย่างเช่นปัจจุบันก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไป ก็ถ้าสงสัยว่าการพัฒนาคุณภาพของชีวิตมนุษย์ที่ดีนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ขอให้ไปดูงานพัฒนาและสิ่งประดิษฐ์ของในหลวงครับ นั่นแหละถือว่าเป็นการพัฒนาที่เลิศที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์ ที่มันล้ำๆเกินๆอยู่ทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาและภาระมากกว่าคุณประโยชน์ครับ เป็นเรื่องของตัณหาทั้งนั้น

โลกและธรรมชาติไม่เคยคิดเงินจากเราแม้แต่นิดเดียว แต่ระบบทุนพาเราเข้ามาเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบ คิดเงินจากเราทุกอย่างแล้วสัญญาว่าจะมีชีวิตที่ดี ด้วยการเอาอุดมคติหลอกๆที่น้อยคนจะไปถึงมาปั่นหัวเราทุกวัน ถึงเวลาหรือยังครับที่เราจะพอ เลิกเป็นผู้บริโภค หันมาพึ่งพาตัวเอง กลับคืนสู่ธรรมชาติและผืนดินที่ให้ชีวิตเราเสียที

ลองเข้าไปศึกษาธรรมที่เป็นไปเพื่อความผ่อนคลาย คลี่คลายสังสารวัฏได้ที่ http://www.rombodhidharma.net ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น